การออกแบบหลักสูตรประเภทต่าง ๆ
การออกแบบหลักสูตรประเภทต่าง
ๆ การออกแบบหลักสูตรเป็นการวางแผนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ หลักสูตร
โดยผู้ออกแบบหลักสูตรจะจัดทำรายละเอียดของหลักสูตรที่ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ ของหลักสูตร
โครงสร้างและเนื้อหาสาระ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผล หลักสูตรที่มีการออกแบบเรียบร้อยแลว
เราจะเรียกว่ากรอบโครงร่างหลักสูตร (curriculum framework) ประเภทของการออกแบบหลักสูตรมีความหลากหลาย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ 55 นักออกแบบหลักสูตรกำหนดไว้
เช่น ความแตกต่างกันของปรัชญาการศึกษา จุดเน้น เกณฑ์การ คัดเลือกเนื้อหา
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และวิธีการวัดประเมินผล ออนสไตน์และฮันคินส์
(Ornstein and Hunkins. 1993 : 242 – 262) ได้แบ่งลักษณะของการออกแบบหลักสูตรเป็น
3 ประเภท ดังนี้
1. การออกแบบหลักสูตรที่ เน้นเนื้อหาวิชา การออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา (subject – centered
designs) เป็นหลักสูตรที่เน้นความสำคัญของเนื้อหาวิชา
การออกแบบหลักสูตรไดรับอิทธิพลจากปรัชญาการศึกษา คือ สารัตถะนิยม (essentialism)
และ นิรันตรนิยม (perennialism) หลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา
แบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1.1 หลักสูตรแบบรายวิชา (subject design) เป็นหลักสูตรที่เก่าแก่ และเป็นที่นิยม
แพร่
หลายมากที่สุด มีลักษณะการจัดโครงสร้างหลักสูตรเป็นรายวิชา เช่น
วิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาไทย เป็นต้น ข้อดีของการออกแบบหลักสูตร
รายวิชา ซายส์ (Zais. 1976 : 400 – 401) กล่าวว่าเป็นหลักสูตรที่ สามารถกำหนดขอบเขตเนื้อหาใน
รายวิชานั้นได้อย่างชัดเจน ครูมีความคุ้นเคยกับหลักสูตรนี้ จึงสามารถสอนในรายวิชาที่ตนมีความ
ชำนาญ การบริหารจัดการหลักสูตรทำได้สะดวกไม่ยุ่งยาก ตลอดจนผู้เรียนได้ความรู้อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม
หลักสูตรนี้มีจุดอ่อนที่นักการศึกษาดังเช่น จอห์น ดิวอี้ (John
Dewey)
ได้เสนอความคิดเห็นว่า ผู้ออกแบบหลักสูตรได้คำนึงถึงความต้องการและประสบการณ์ของผู้เรียน
หรือไม่ โอกาสที่ผู้เรียนจะใช่ประสบการณ์ของตนเองในการเรียนจึงเกิดขึ้นน้อย ผู้สอนมุ่งถ่ายทอด
เนื้อหาสาระให้ผู้เรียนเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงพัฒนาการทางสังคม จิตวิทยา
และพัฒนาการ ของกายภาพของผู้เรียน เป็นการแยกสิ่งที่เรียนออกจากโลกแห่งความเป็นจริงของผู้เรียน
1.2 หลักสูตรแบบสาขาวิชา (discipline design) เป็นหลักสูตรที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก
ครั้งที่สอง และได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงปีค.ศ. 1950
– 1960 ผู้สนับสนุน แนวคิดของการออกแบบหลักสูตรประเภทนี้ เช่น
เจอโรม บรูเนอร์ (Jerome Bruner) และ แฮร์รี่ บรูดี้ (Harry
Broudy) การออกแบบหลักสูตรมีความคล้ายคลึงกับหลักสูตรรายวิชา แต่จะแตกต่าง
กันที่หลักสูตรแบบสาขาวิชาจะมีจุดเน้นลุ่มลึกไปในศาสตร์ของแต่ละสาขา เช่น
สาขาประวัติศาสตร์ หลักสูตรจะกำหนดให้ผู้เรียนเรียนกระบวนการทางประวัติศาสตร์ประหนึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์
วิชาชีววิทยาก็เรียนเนื้อหาลุ่มลึกในศาสตร์ของชีววิทยา การเรียนการสอนจะ มุ่งเน้นความคิดรวบยอด
โครงสร้างเนื้อหา และกระบวนการในศาสตร์ของชีววิทยา นักการศึกษา หลายคนวิจารณ์ถึงข้อบกพร่องของหลักสูตรประเภทนี้
โดยเฉพาะแนวคิดของบรูเนอร์ (Bruner) 56 ที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ใด
ๆ บรูเนอร์กล่าวว่าวิชาอะไรก็สามารถสอนให้แก่เด็ก ทุกคนเรียนรู้ได้ในทุกขั้นตอนของพัฒนาการ
บรูเนอร์ได้ออกแบบหลักสูตรตามแนวคิดนี้ซึ่ง เรียกว่า หลักสูตรแบบเกลียว
หรือหลักสูตรแบบบันได้วน (spiral curriculum) โดยจำแนกเนื้อออกเป็นระดับต่าง
ๆ เริ่มจากระดับที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ความคิดรวบยอดง่าย ๆ ไปจนถึงความคิดรวบยอด
ที่ยากและซับซ้อน เช่นความคิดรวบยอดเรื่อง อุปสงค์อุปทาน สามารถสอนได้ตั้งแต่ระดับชั้น
ประถมไปถึงระดับมัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษา เป็นต้น แนวคิดดังกล่าวถูกคัดค้านโดย
นักจิตวิทยาพัฒนาการ และถูกวิจารณ์ว่าเป็นหลักสูตรที่เอื้อต่อนักเรียนที่เก่งทางวิชาการ
ไม่ให้ โอกาสนักเรียนที่มีความสามารถด้อยในทางวิชาการ ระดับมัธยมศึกษาระดับประถมศึกษา
ระดับการศึกษาปฐมวัย หลักสูตรแบบเกลียว (spiral
curriculum) ที่มา : Ellis.1998 : 11
1.3 หลักสูตรหมวดวิชา (broad fields design) นักออกแบบหลักสูตรพยายามจะ แก้ไข
ข้อบกพร่องของหลักสูตรรายวิชา โดยนำวิชาที่มีเนื้อหาสัมพันธ์กัน
มาจัดเข้าไว้ในหมวดวิชา เดียวกัน เช่น ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง
ศีลธรรม รวมอยู่ในหมวดสังคมศึกษา ชีววิทยา ฟสิกส์ เคมี รวมเป็นหมวดวิทยาศาสตร์
เป็นต้น
1.4 หลักสูตรสัมพันธวิชา (correlation design) เป็นหลักสูตรที่พัฒนามาจากหลักสูตร
หมวดวิชา โดยเน้นความสัมพันธ์ของเนื้อหาวิชา
ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี และนำไปใช้ ประโยชน์ได้มากกว่าการเรียนเป็นรายวิชา
ข้อดีของหลักสูตรแบบนี้คือ ผู้สอนมีการวางแผนการสอนรวมกัน กิจกรรมการเรียนการสอนจัดได้กว้างขวางมากขึ้น
ตัวอย่างของหลักสูตรประเภทนี้ คือ การนำเอาเนื้อหาประวัติศาสตร์ไทยกับวรรณคดีไทยบางตอนมาสานเนื้อหาให้ดูขนานกันไปใน
เวลาเดียวกัน โดยผู้เรียนจะสามารถเชื่อมโยงความรู้รายวิชาหนึ่งไปสูวิชาหนึ่งได้
1.5 หลักสูตรเน้นกระบวนการ (process
design) เป็นหลักสูตรที่เน้นกระบวนการ หรือ
ทักษะกระบวนการ นักออกแบบหลักสูตรมีความเชื่อว่า การเรียนการสอนที่ เน้นกระบวนการ
จะทำให้ผู้เรียนสามารถนำกระบวนการนั้นไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันของเขาได้
ตัวอย่าง ของหลักสูตร เช่น หลักสูตรการคิดของ เบเยอร์ (Beyer
อ้างถึงใน Ornstein.1993 : 247) ได้แบ่ง กลยุทธ์การคิดเป็น
3 วิธีคือ การคิดแก้ปัญหา (problem solving) การตัดสินใจ (decision making) และการสร้างแนวคิด(conceptualizing)
หลักสูตรการคิด (thinking curriculum) ของแมริลี
เจ. อาดัมส (Marily J. Adams) โดยความร่วมมือระหว่าง Harvard
University และ Venezuelan Ministry of Education ที่มีชื่อเรียกวา Odyssey : A Curriculum for thinking (ERIC.2007 )
2. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
(learner–
centered designs) เป็นหลักสูตร ที่มองถึงประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ
คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียน โดยหลีกเลี่ยงหลักสูตรที่ เน้นเนื้อหาวิชาเป็นตัวตั้ง
การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จัดได้หลายประเภท ดังนี้
2.1 หลักสูตรเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
(child – centered designs) หลักสูตรได้แนวคิด มาจาก
รุสโซ
(Rousseau)
ในต้นศตวรรษที่ 18 ที่ว่า เด็กควรจะได้ศึกษาถึงธรรมชาติที่อยู่แวดล้อมตัว
ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของเขา นักการศึกษาที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เช่น จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) เฟเดอริค ฟรอเบล (Friedrich
Froebel) และ เปสตาลอสซี่ (Pestalozzi) เป็นต้น
การจัดเนื้อหาของหลักสูตรแบบนี้จะมีการบูรณาการเนื้อหาของวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยเน้นไปที่ประสบการณ์
หรือปัญหาสังคม ความจำเป็นของชีวิต ทักษะชีวิต การปรับตัว และ ประสบการณ์ตรงของผู้เรียน
ดังตัวอย่าง หลักสูตร Skills for Growing สำหรับระดับชั้น k
– 5 ที่พัฒนาโดย W.K.Kellogg Foundation ภายใต้การสนับสนุนของ
the National Association of Elementary School Principals and the
National PTA หลักสูตรแบ่งเนื้อหาเป็น 5 หน่วย
การเรียน ดังนี้ (Lion – guest.2007)
หน่วยการเรียนที่ 1 : การสร้างชุมชนในโรงเรียน
หน่วยการเรียนที่ 2 : เติบโตเพื่อเป็นสมาชิกของกลุม
หน่วยการเรียนที่ 3 : การตัดสินใจเชิงบวก
หน่วยการเรียนที่ 4 : การเจริญเติบโตเพื่อสุขภาพที่ดี
หน่วยการเรียนที่ 5 : การเคารพซึ่งกันและกัน
ข้อดีของหลักสูตรนี้ คือ
มีการผสมผสานกันระหว่างการเรียนรู้กับเนื้อหา สิ่งที่เรียนมีความสัมพันธ์กับปัญหาชีวิต
และความสนใจของผู้เรียน ผู้เรียนไดเรียนรู้จากประสบการณ์ และใช้กระบวนการแก้ปัญหาของตนเอง
ส่วนข้อจำกัด คือ การจัดหลักสูตรที่ยึดความสนใจ ของผู้เรียนเป็นตัวตั้ง จะไม่สามารถรับประกันได้ว่า
ความต้องการของผู้เรียนจะเป็นไปตามที่สังคม ต้องการหรือไม่ และเป็นความยุ่งยากของสถานศึกษาที่
จะจัดหลักสูตรให้สอดคล้องกับผู้เรียน ทุกคน
2.2 หลักสูตรเน้นประสบการณ์ (experience –
centered designs) เป็นหลักสูตรที่มี ลักษณะ
คล้ายหลักสูตรเน้นกระบวนการ
พัฒนามาจากแนวคิดของ จอห์น ดิวอี้ ที่เน้นการเรียนรู้ ด้วยการปฏิบัติของผู้เรียน
กิจกรรมและประสบการณ์ต่าง ๆ ควรจัดขึ้นตามความสนใจ และความ ต้องการของผู้เรียน
จึงจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันจะนำไปสู่ การเรียนรู้และประสบการณอื่นๆ
ข้อดีของหลักสูตรนี้คือ
ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์นำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
2.3 หลักสูตรแบบจิตนิยม (romantic /radical
designs) เป็นหลักสูตรที่เน้นความเป็น
ธรรมชาติของผู้เรียน
ให้ความสำคัญของบุคคลแต่ละคนว่าทุกคนมีอิสระในการเลือก สามารถ กำหนดชีวิตของตนเองได้
เน้นความมีเสรีภาพอันสมบูรณ์และความเป็นเอกทัตบุคคลของ แต่ละคน หลักสูตรควรช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับตัว
ตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้กล่าวยอมรับ ในสิ่งที่ตนทำ ตลอดจนสามารถแก่ปัญหาต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นได้ การเรียนการสอนเน้นผู้เรียนให้รู้จักปัญหา และได้ฝึกฝนให้ทำในสิ่งที่ต้องออกไปเผชิญในชีวิตจริง
นักการศึกษาที่มีแนวคิดลักษณะนี้ ได้แก่ เอ.เอส.นีล (A.S.Neil) อิวาน อิลลิช (Ivan Illich) และเปาโล แฟร์ (Paulo
Freire) เป็นต้น
2.4 หลักสูตรมนุษย์นิยม
(humanistic designs) การออกแบบหลักสูตรประเภทนี้นิยมแพร่
หลายในระหว่าง
ค.ศ. 1960
– 1970 โดยไดรับแนวคิดของปรัชญาการศึกษาแบบอัตถิภาวะนิยม
(existentialism) หลักสูตรเน้นด้านจิตใจ ความเป็นเอกัตบุคคล
การพัฒนามโนทัศน์ของตนเอง การรูจักตนเอง การควบคุมการเรียนรู้และพฤติกรรมด้วยตนเอง
การรู้จักเห็นใจผู้อื่น นับถือตนเอง และผู้อื่น เน้นการพัฒนาจิตพิสัย ควบคู่ไปกับพุทธิพิสัย
หลักสูตรจะเพิ่มทางเลือกให้ผู้เรียนได้มี อิสระในการเลือก ยึดหลักการพัฒนาแบบองค์รวม
นักการศึกษาที่มีแนวคิดเช่นนี้ ได้แก่ อับบรา ฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow)
และคาร์ล โรเจอรส์ (Carl Rogers) ข้อบกพร่องของหลักสูตร
แบบนี้คือ การจัดการเรียนการสอนต้องเป็นครูที่มีทักษะ มีความสามารถที่จะทำงานกับผู้เรียน
เป็นรายบุคคล
3. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ การออกแบบหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ
(problem
– centered designs) เป็นการออกแบบหลักสูตรที่ยึดเอาภาระหน้าที่
หรือชีวิตภายในสังคม สถานการณในสังคมเป็นหลัก เป็นหลักสูตรที่เน้นสภาพของสังคม
หรือปัญหาของสังคมเป็นตัวตั้งในการจัดทำหลักสูตร โดยต้องมีการวิเคราะห์สภาพและความต้องการของชุมชนท้องถิ่น
หลักสูตรแบบนี้มีความแตกต่าง จากหลักสูตรที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ การกำหนดเนื้อหาของหลักสูตรต้องมีการวางแผน
เตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนนักเรียนเข้ามาเรียน แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพความต้องการ
ของผู้เรียน การออกแบบหลักสูตรจัดได้หลายประเภท ดังนี้
3.1 หลักสูตรเน้นสถานการณของชีวิต
(life – situations designs) เป็นหลักสูตรที่เน้น
ภาระหน้าที่
ชีวิตในสังคม และสถานการณ์ของชีวิตในสังคมเป็นหลัก หลักสูตรที่ศึกษาจะมุ่งให้ ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความหมายโดยให้สัมพันธ์กับชีวิตจริง
ปัญหาที่ผู้เรียนพบที่โรงเรียน จะมีความคล้ายคลึงกับปัญหาที่พบนอกโรงเรียน
ข้อดีของหลักสูตรประเภทนี้คือ
การเน้นกระบวนการเรียนรู้เพื่อการแก้ปัญหา มีการบูรณาการ เนื้อหาและกระบวนการแก้ปัญหาเข้าด้วยกัน
มีผู้วิจารณ์หลักสูตรนี้ว่าผู้เรียนอาจขาดความสมบูรณ ในด้านเนื้อหาสาระ แต่ผู้สนับสนุนหลักสูตรนี้โต้แย้งว่าเนื้อหาได้ถูกนำเสนอไปแล้วในรูปแบบของปัญหา
จุดอ่อนของหลักสูตรนี้ คือ ความยากลำบากในการจัดขอบขายเนื้อหาและลำดับ การเรียนรู
การตัดสินใจว่าปัญหาที่ ประสบอยู่ในปัจจุบัน จะเชื่อมโยงสัมพันธ์กับปัญหาในอนาคต หรือไม่
3.2 หลักสูตรแกน
(core designs) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หลักสูตรเน้นภาระหน้าที่
ในสังคม
(social function) เป็นการออกแบบหลักสูตรที่ แก้ไขข้อบกพร่องของหลักสูตรรายวิชา ใช้หลักการจัดหลักสูตร
2 แนวทางคือ ใช้เนื้อหาเป็นแกน (subject matter core
design)โดยรวบรวม เนื้อหาสาระและประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์เข้าด้วยกัน
มีวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นแกน เอาวิชาอื่นมา สัมพันธ์ หรือใช้ขอบเขตของการดำรงชีวิตเป็นแกน
(area of living core design) โดยดึงเอา ความต้องการ และปัญหาสังคมที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของผู้เรียนมาเป็นแกนของหลักสูตรโดย
เรียนรู้แนวทางการแก้ปัญหา การจัดหลักสูตรแกนที่ใช้ขอบเขตของการดำรงชีวิตเป็นแกน
จะต้องคำนึงถึงการ แก้ปัญหาเป็นสำคัญ ฟอนเซ และบอสซิ่ง (Faunce and
Bossing) ได้กล่าวถึงแนวทางของการแก้ปัญหามีลักษณะดังนี้ (Ornstein
and Hunkins. 1993 : 258)
3.2.1 ปัญหาที่ศึกษาต้องได้รับการคัดเลือกจากครูและผู้เรียน
3.2.2 ปัญหาที่ศึกษาจะต้องถูกคัดเลือกอย่างมีหลักเกณฑ์
3.2.3 ปัญหาที่ศึกษาต้องมีความชัดเจน
3.2.4 ขอบเขตของการศึกษาต้องจัดกลุ่มให้ศึกษาตามความสนใจของผู้เรียน
3.2.5 ข้อมูลที่จำเป็นต้องได้รับการอภิปรายจากกลุ่ม
3.2.6 แหล่งที่มาของข้อมูลต้องไดรับการอภิปรายจากกลุ่ม
3.2.7 ข้อมูลที่ได้มาต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบ
3.2.8 ข้อมูลที่ได้ต้องผ่านการวิเคราะห์และตีความ
3.2.9 ข้อสรุปที่ได้ต้องมาจากผลของทดลอง
3.2.10 การเสนอรายงานให้จัดทำเป็นรายบุคคล หรือเป็นกลุ่ม
3.2.11 การสรุปผลต้องมาจากการประเมินร่วมกัน
3.3 หลักสูตรเน้นปัญหาและปฏิรูปสังคม (social problems and
reconstructionist designs)
เป็นหลักสูตรที่เน้นปัญหาของสังคมและแนวทางการแก้ไขปัญหาสังคมปัจจุบัน
ตลอดจน การวางแผนเพื่อ อนาคต หลักสูตรจะต้องสะท้อนการพัฒนาสังคมในด้านเศรษฐกิจ
สังคม และ การเมืองการปกครอง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคม ผู้เรียนจะต้องวิเคราะห์ภาวะวิกฤติของ
ชุมชนทั้ง ในระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับนานาชาติ